วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ความรู้เบื้องต้นเรื่องปัสสาวะบำบัด

การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค
น้ำปัสสาวะบรรเทาโรค ธรรมะโอสถสูตรโบราณกาล

น้ำปัสสาวะดื่มได้ มีสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สารละลายลิ่มเลือดในหัวใจ
พระสงฆ์จากชุมพรชี้น้ำปัสสาวะรักษาโรคมีบัญญัติไว้ตั้งแต่สมัยพุทธกาล วิธีดื่มให้ดองสมอไทย สมอพิเภก รักษาอาการผอมแห้งแรงน้อย
ตัวเหลือง แพทย์ธรรมชาติบำบัดระบุมีการจัดประชุมเรื่องน้ำปัสสาวะระดับโลกมาแล้วถึง 3 ครั้ง ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบอกชัดรักษาโรคได้สารพัด
ขณะที่เจ้าของสวนปาล์ม จังหวัดชุมพรเผยประสบการณ์ดื่มปัสสาวะกว่า 2 ปี รสชาติบอกภาวะสุขภาพได้ ถ้าเปรี้ยวเป็นผลจากรับประทานอาหาร
มีสารกันบูด รสขมกินอาหารมีสารพิษตกค้าง รสเค็ม เกิดจากการดื่มน้ำสะอาดน้อย อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะรักษาโรคยังไม่มีข้อสรุปทางวิชาการ
มายืนยัน เรียกร้องนักวิชาการทำการวิจัย

กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกจัดเสวนา เรื่อง “น้ำปัสสาวะรักษาโรค”
พระดุษฎี เมอังกุโร สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จังหวัดชุมพร กล่าวว่า การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรคมีตั้งแต่สมัยพุทธกาล
พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระธรรมวินัย เป็นแนวทางยังชีพของพระสงฆ์เรียกว่า นิสัย 4 ได้แก่
 1. ต้องนุ่งห่มด้วยผ้า 3 ชิ้น นำมาจากผ้าห่อศพ ผ้าบังสุกุล เป็นผ้าที่ไม่มีราคานำมาทำความสะอาด
    ตัดเย็บอย่างง่าย ๆ ไม่มีราคา ตัดปัญหาเรื่องถูกลักขโมย

 2. อาศัยอยู่โคนต้นไม้ ได้รับอากาศบริสุทธิ์

 3. ฉันอาหารที่ได้จากการบิณฑบาตรเท่านั้น การเดินเท้าเปล่าในยามเช้าได้รับแสงแดดและเป็นการนวดเท้าไปในตัว

 4. ฉันน้ำมูต(น้ำปัสสาวะ)เมื่ออาพาท เจ็บป่วย โดยนิสัย 4 กำหนดไว้ชัดเจนในพระไตรปิฏก
“ในสมัยพุทธกาลเขียนไว้ว่า พระสงฆ์ที่ผอมเหลืองให้ฉันน้ำมูตโค คืออินเดียเขานับถือวัว นำน้ำปัสสาวะวัวมาดองสมอไทย สมอภิเษก ฉันรักษาอาการอาพาท แต่พระสายวัดป่าเวลาธุดงค์ จะได้รับการสั่งสอนให้รู้จักนำสมุนไพรมาใช้ในการรักษาโรค อย่างไข้ป่าหรือไข้มาลาเรีย ฉันสมุนไพรแล้วก็นั่งสมาธิ ทำจิตแน่วแน่ ไม่หายก็ตาย พระธุดงค์ผ่านโรคนี้ได้ ถือว่าเป็นพระที่ผ่านภาวะวิกฤต มีความเข้มแข็ง มีสภาวะจิตที่แข็งแกร่ง ด้านเภสัชบริขาลไม่ได้เขียนไว้มากนัก”พระดุษฎี กล่าว

พระดุษฎี กล่าวด้วยว่า ที่สำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ มีพระสงฆ์และฆราวาสจำนวนหนึ่งที่ดื่มน้ำปัสสาวะตนเองรักษาอาการเจ็บป่วย เช่น อาการปวดเมื่อยจากการทำงานหนัก อีกทั้งการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นการ “วัดใจ” เพราะกลิ่นของปัสสาวะแต่ละคนมีรุนแรงแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน หากกินเนื้อ ชา กาแฟ เบียร์ ดื่มน้ำสะอาดน้อยจะส่งผลต่อรสชาด ถ้ากินอาหารโปรตีนน้อย ดื่มน้ำมาก กลิ่นของปัสสาวะจะไม่แรง ส่วนตัวเห็นว่าการดื่มน้ำปัสสาวะไม่น่าเสียหาย เพราะไม่ต้องเสียเงินซื้อ การที่หมอแผนปัจจุบันไม่สนับสนุนอาจเป็นเพราะหมอยังไม่ได้มีความรู้เกี่ยว กับประโยชน์ของปัสสาวะ หมอเลือกพูดแต่สิ่งที่ตัวเองรู้
ขณะที่สังคมไทยเป็นสังคมที่เชื่อผู้เชี่ยวชาญ จึงขาดโอกาสที่จะบำบัดด้วยธรรมะโอสถ


การดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค ถือเป็นทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพ บำบัดโรคปวดเรื้อรัง แผลไฟไหม้พุพอง มะเร็ง เบาหวาน ฯลฯ
โดยใช้หลัก
"พิษต้านพิษ" คล้ายกับการฉีดเซรุ่มถอนพิษงู ย้ำต้องดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองเท่านั้น ใช้ควบคู่กับการแพทย์แผนปัจจุบัน
ด้าน น.พ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล เจ้าของศูนย์ธรรมชาติบำบัดแห่งหนึ่ง กล่าวว่า จากการค้นข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต พบว่า มีการประชุมระดับโลก เกี่ยวกับน้ำปัสสาวะรักษาโรคแล้ว 3 ครั้ง ที่อินเดีย เยอรมนีและบราซิล มี การรายงานน้ำปัสสาวะรักษาอาการปวดข้อ ไมเกรน ภูมิแพ้ โรคเอสแอลอี โรคปวดข้อรูมาตอยด์ แผลไฟไหม้ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ใหญ่ ทารักษาเชื้อราตามผิวหนัง สวนล้างช่องคลอดแก้อาการตกขาว
รักษาอาการปวดเรื้อรัง เช่น ปวดหลัง ปวดข้อ ปวดไมเกรน ปวดเมื่อยไม่มีสาเหตุ รักษาโรคภูมิแพ้ ผื่นคัน สะเก็ดเงิน มะเร็ง ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง ใช้ผ้าชุบน้ำปัสสาวะปิดแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ส่วนประกอบของปัสสาวะเป็นน้ำร้อยละ 95 ยูเรียร้อยละ 2.5 และสารอื่น ๆ อีกร้อยละ 2.5 การใช้น้ำปัสสาวะบำบัดโรคอธิบายได้ด้วยหลักฮีโมโอพาธี หรือหลักพิษต้านพิษ เช่น ฉีดพิษงูทีละน้อย ๆ เข้ากระแสเลือดม้าจนได้ซีรั่ม
หรือน้ำเหลืองม้ากลายเป็นเซรุ่มฉีดแก้พิษงูนำพิษของต้นควินินที่ทำให้หนาวสั่นมาเป็นยารักษาไข้มาลาเรียหรือไข้จับสั่น
"หลวงปู่โง่น ซึ่งเป็นพระนักปฏิบัติ มีอายุยืนยาว ท่านก็ใช้น้ำปัสสาวะบำบัด มีประชาชนที่อยู่ใกล้วัดของพระดุษฎี เมธังกุโร จังหวัดชุมพร เลื่อมใสศรัทธาดื่มน้ำปัสสาวะบำบัดโรคเหมือนกัน เขาก็สุขสบายดี ในภาวะที่คนเรายากจน โครงการ 30 บาท งบประมาณก็ไม่พอ เศรษฐกิจตกต่ำ ประชาชนพึ่งตนเองได้ การดื่มน้ำปัสสาวะบำบัดโรคเป็นการดื่มด้วยความสมัครใจ ไม่มีใครบังคับได้ ไม่มีธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนยา หรือวิตามิน เพราะต้องดื่มน้ำปัสสาวะของตัวเองเท่านั้น" นพ.บรรจบ กล่าว

นพ.บรรจบ กล่าวย้ำว่า ปัจจุบันยังไม่มีรายงานวิจัยเกี่ยวกับพิษ หรือโทษของการดื่มน้ำปัสสาวะในประเทศไทย
ู้ที่บอกว่าดื่มน้ำปัสสาวะระวังโรคไต เพราะปัสสาวะเป็นของเสียที่ขับออกจากร่างกายนั้น ผู้ที่พูดลักษณะนี้ควรมีหลักฐานมายืนยันด้วย
อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะบำบัดโรคเป็นแค่ทางเลือกหนึ่งในการดูแลสุขภาพเท่านั้น ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน มะเร็ง ต้องรักษาด้วยการแพทย์ปัจจุบัน ปรับพฤติกรรม คือ หากต้องผ่าตัดก็ต้องผ่าตัดเนื้อร้ายออก มีข้อควรระวังคือ อย่าดื่มน้ำปัสสาวะของคนอื่น ผู้ที่มีโรคระบบทางเดินปัสสาวะ มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำปัสสาวะ เพราะอาจมีเชื้อโรคติดมาด้วย
"ชาวจีนมีความเชื่อว่า ดื่มน้ำปัสสาวะเด็กผู้ชายสำหรับคนอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร หลักการแพทย์พื้นบ้านไทย ใช้น้ำปัสสาวะเป็นยาดอง
เพื่อปรุงโอสถ เช่น ดองสมอไทย สมอภิเพก มะขามป้อม เป็นยาอายุวัฒนะ" นพ.บรรจบ กล่าว.

“หมออยากให้มองน้ำปัสสาวะรักษาโรคเป็นแบบองค์รวมทั้งทางกายและทางจิต คนที่เจ็บป่วยเป็นมะเร็งหรือโรคเรื้อรังอื่น ๆ
ก็ต้องไปหาหมอ พิจารณาการดื่มน้ำปัสสาวะเป็นทางเลือกเสริม” น.พ.บรรจบ กล่าว

น.พ.บรรจบ กล่าวด้วยว่า ในต่างประเทศมีการวิเคราะห์น้ำปัสสาวะ พบว่า ประกอบด้วยน้ำร้อยละ 95 ยูเรียร้อยละ 2 ที่เหลือเป็นสารอื่น ๆ ข้อมูลทางวิชาการที่หาได้จากอินเตอร์เน็ตระบุว่า ยูเรียในปริมาณที่เหมาะสมเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง แต่หากมีมากจะทำให้เกิดโรคเก๊าท์
ส่วนที่เป็นสารอื่น ๆ มีทั้งฮอร์โมนและสารเคมีกระตุ้นการเจริญเติบโต น้ำปัสสาวะมีสารให้ความชุ่มชื้นหรือมอยเจอร์ไรเซอร์ สารละลายลิ่มเลือดในหัวใจ
เรียกว่า ยูโรไคเนส บริษัทยาในสหรัฐได้ตั้งจุดเก็บกักน้ำปัสสาวะกว่า 10,000 แห่ง นำน้ำปัสสาวะ 40 ล้านแกลลอนมาสกัดเอาสารยูโรไคเนส ได้
40 แกลลอน สกัดส่งขายทั่วโลกตั้งแต่ปี ค.ศ.1989 สารตัวนี้มีมูลค่าการตลาดประมาณ 500 ล้านบาทต่อปี นอกจากนั้นยังพบสารอิเล็กโตรพล็อยติน
กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง มีฮอร์โมนเมลาโตนินทำให้นอนหลับดี

“ช่วงที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขออกมาห้าม เตือนอันตรายจากการดื่มน้ำปัสสาวะ ก่อนที่จะเตือนประชาชนหรือห้ามนั้น
หน่วยงานของรัฐควรมีข้อมูลที่ชัดเจนก่อน หากไม่มีข้อมูลแต่ห้ามเลย เป็นการปิดทางเลือกของประชาชนหรือไม่”น.พ.บรรจบกล่าว.
----------------------------------

โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า รักษาโรคร้าย


โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า

สิริอัญญา, ข้างประชาราษฎร์

โรคมะเร็งซึ่งถือกันว่าเป็นโรคร้ายแรงในยุคปัจจุบัน
ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันว่ามีโครงสร้างของโมเลกุลเป็นอย่างไร
ทำให้สามารถตรวจสอบอาการของมะเร็งได้ง่ายขึ้น
เพราะเมื่อพบโมเลกุลของเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่าเป็นโมเลกุลของมะเร็งแล้ว
ก็รู้ได้โดยง่ายว่าเป็นมะเร็ง

พวกฝรั่งเขาเก่ง โฆษณาเก่ง อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นผู้คิด ผู้รู้
หรือเป็นผู้คนพบ แล้วเหมารวมเอาว่าเป็นภูมิปัญญาของฝรั่ง
อย่างดินปืนหรือเข็มทิศนั่นประไร คนจีนเขาคิดได้ก่อนร่วมสองพันปี
ฝรั่งเอาไปพัฒนาแล้วอ้างเอาว่าเป็นต้นคิด

แม้กระทั่งปืนกลอะไรนั่น ความจริงขงเบ้งได้คิดใช้ก่อนแล้วตั้งแต่เกือบสองพันปี
ดังที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในสามก๊ก

เซรุ่มหรือวัคซีนในการรักษาป้องกันโรคและพิษหลายอย่าง ฝรั่งก็อ้างผูกขาดเอาว่าเป็นต้นคิด
ทั้งๆ ที่ความจริงแนวความคิดในการผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่
หากเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วอย่างน้อยก็สองพันกว่าปี
อันเซรุ่มหรือวัคซีนนั้นหลักการอันเป็นแนวคิดก็คือการใช้พิษฆ่าพิษหรือข่มพิษ
มีการเอาพิษหรือเชื้อโรคไปบ่มไปเพาะ แล้วนำไปใช้ในการป้องกันหรือรักษาพิษหรือโรค

ฝรั่งคิดเรื่องนี้ได้ในระยะเพียงประมาณไม่กี่ร้อยปีมานี้
แต่จีนคิดและใช้ความรู้เกี่ยวกับพิษข่มพิษหรือใช้พิษแก้พิษมาร่วมสองพันปีแล้ว
ยาแผนโบราณของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวนมากล้วนได้ใช้หลักพิษข่มพิษหรือพิษแก้พิษ

ฝรั่งเคยเอายาจีนไปพิสูจน์แล้วออกข่าวโวยวายว่าเป็นยาที่กินไม่ได้เพราะมีสารพิษเจือปน
ก็เพราะนัยดังกล่าวนี้เอง ทั้งๆ ที่ในการใช้บำบัดรักษาจริงๆ แล้ว สามารถใช้ได้ผลเป็นอย่างดี

ดังเช่นยารักษาโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะลำไส้ที่มีชื่อว่าเปี่ยนเซฮวง หรือเพี้ยนจื่อ หวัง
หากเอาไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่ามีสารพิษบางอย่างซึ่งฝรั่งถือว่าใช้ไม่ได้
แต่ในการใช้บำบัดรักษาผู้เป็นโรคมะเร็งในหลายประเทศทั่วโลกปรากฏว่าใช้ได้ผลดี

พรรคพวกคนหนึ่งเป็นโรคไวรัสบีที่ตับ ตัวเหลืองซีด เดินไม่ได้ กินไม่ได้
อีกไม่นานก็จะตายแล้ว แต่พอได้กินยาดังกล่าวเข้าประมาณ 20 เม็ด ก็เริ่มสามารถเดินได้
ครั้นกินไปได้ครบ 60 เม็ด ตัวที่เหลืองซีดก็หาย ผลตับก็ดีขึ้นและเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้

พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเราทรงพบหลักการบำบัดรักษาโรคทำนองเดียวกับ
เซรุ่มหรือวัคซีนก่อนใครในโลก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกในการใช้สอย และได้ผลจริง
มีความแสดงไว้อย่างชัดเจนทั้งในพระสูตรและพระวินัย
อย่าได้คิดว่าเป็นการค้นพบโดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์
หากเป็นการรู้เห็นด้วยญาณอันวิเศษ และปฏิบัติใช้ได้ผลมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นผลดีของโอสถวิเศษดังกล่าวนี้
จึงบัญญัติไว้ในพระวินัยให้เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญ 1 ใน 3 ประการของภิกษุ
พระภิกษุต้องมีวัตรปฏิบัติ 3 ประการคือ
การถือไตรจีวรเป็นประจำอย่างหนึ่ง
การบิณฑบาตอย่างหนึ่ง
และการทำน้ำมูถเน่าฉันอีกอย่างหนึ่ง

การบิณฑบาตเป็นวัตรก็คือการออกกำลังกายในยามเช้า ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า morning walk
หรือ จ็อกกิ้งอะไรก็ตามเถิด แต่แท้จริงแล้วก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนเป็นปกติ เส้นสายได้คลี่คลาย ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งอาหาร

โดยเฉพาะเวลาอุ้มบาตรแนบกับท้องน้อย ความอุ่นของบาตรพระที่มีข้าวสุกอยู่ในบาตร
ได้เคล้าคลึงอยู่กับหน้าท้อง

ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นสายและเลือดลมทั้งปวง ทำให้กายมีความเป็นปกติ เป็นอยู่สบาย
แม้ในทางธรรมเล่าก็ทำให้ผู้เป็นพุทธบริษัท
ได้มีโอกาสทำบุญ บำรุงจิตใจให้อาบเอิบอยู่ด้วยบุญ
จาคะ และการสละละวาง ประโยชน์ใหญ่หลวงอันเกิดแต่บิณฑบาตมีอยู่ดังนี้

ส่วนการทำมูถเน่าฉันนั้นก็คือการเอาน้ำปัสสาวะของตนเองทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาแต่กลางน้ำ
ดองกับลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้ หมักบ่มไว้เป็นเวลา 90 วัน ก็ใช้ฉันได้
หรือจะฉันสดโดยรองเอาแต่เฉพาะช่วงกลาง ทิ้งหัวทิ้งท้ายก็ได้
และนี่เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มีผลในการป้องกัน บำบัด และรักษาโรคที่มีผลชะงัด
พิสูจน์เมื่อใดก็ใช้ได้เมื่อนั้น ได้ผลเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาใดๆ หรือมีเพศวัยอะไร

คนโบราณหรือคนที่มีอายุเกินกว่า 45 ปี
ก็คงเคยได้กินยาแผนโบราณที่ใช้น้ำปัสสาวะเด็กเป็นกระษัยยามาบ้างแล้ว
นั่นเป็นเรื่องของคนที่ขยะแขยงน้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถ

พระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองย่อมมีมาแต่เหตุว่า
อาการของโรคใดๆ ของคนใดคนหนึ่งย่อมต้องบำบัดรักษาด้วยน้ำมูถหรือน้ำปัสสาวะของผู้นั้น
จะใช้ของผู้อื่นไม่ได้

มีผู้ใช้โอสถทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการบำบัดรักษาโรคหลายอย่างหลายชนิดตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
ตั้งแต่ป่วยเป็นไข้ เป็นฝีในท้อง เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง และโรคอื่นๆ สารพัด

ได้ทราบข่าวหลายกระแสและค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า น้ำมูถเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั้นสามารถบำบัดรักษาโรคเอดส์ได้ด้วย
เหตุที่มีการทดลองใช้น้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถเน่ารักษาโรคเอดส์เนื่องจากการรักษาแผนปัจจุบันนั้นเป็นอันสิ้นหวัง
และยังไม่สามารถค้นพบยาขนานอื่นใดที่รักษาโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง

จึงทำให้ผู้เป็นโรคเอดส์ที่ว่านี้ทอดอาลัยตายอยาก แล้วคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้ว
ลองใช้โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าบ้างจะเป็นไรไป
ครั้นทดลองเอามากินเพียง 10 กว่าวัน
ลิ้นและปากที่เป็นฝ้ากินอะไรไม่ได้ก็เริ่มกินน้ำได้คล่องคอแล้วค่อยๆ กินอาหารได้

พอกินอาหารได้ความซูบซีดผอมแห้งแรงน้อยก็ค่อยๆ หาย
เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นโดยลำดับ 6 เดือนผ่านไปเนื้อหนังมังสาผิวพรรณ
เริ่มเหมือนผู้คนมากกว่าที่เหมือนเปรตดังแต่ก่อน ค่อยๆ เดินได้ ออกกำลังกายได้

8 เดือนผ่านไปก็มั่นใจว่าโอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าสามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายได้อย่างแน่นอน

จึงกินต่อมาเรื่อยๆ 5 ปีผ่านไปแล้วบางราย 3 ปีผ่านไปแล้วก็สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติยิ่งขึ้น
หรือเหมือนกับคนปกติแล้ว

ตรองดูเหตุผลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้พระภิกษุฉันน้ำมูถเน่าเป็นวัตร
ก็คงเนื่องมาแต่ยุคพุทธกาลนั้นบ้านเมืองยังทุรกันดาร หมอก็คงหาลำบาก
ยามพระภิกษุป่วยไข้จะหาหยูกยาที่ไหนมารักษา

และวิธีที่ดีและง่ายที่สุด หาได้ทุกเมื่อทุกวันเวลาก็คือน้ำปัสสาวะของตนเอง
เหตุที่ต้องใช้น้ำปัสสาวะของตนเองก็เพราะว่าน้ำปัสสาวะของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่กลั่นจากน้ำในกาย
ทั้งน้ำเลือด น้ำหนอง และน้ำทุกชนิดในกายอันยาววาหนาคืบนี้

โดยไตเป็นกลไกในการขับกรองโรคทั้งหลายในกายย่อมอาศัยย่อมมีเหตุปัจจัยและย่อมมีผลเกี่ยวด้วยน้ำหลายชนิด
ดังกล่าวในกายของตัวเองนั่นเองเป็นโรคอะไรน้ำในกายก็ย่อมมีสารอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของโรคนั้นอยู่

เมื่อผ่านการกลั่นกรองของไตกลายเป็นน้ำปัสสาวะแล้ว
น้ำปัสสาวะนั้นจึงเหมือนกับเซรุ่มหรือวัคซีนที่พวกฝรั่งเพิ่งค้นพบในภายหลังนั่นแหละ

เมื่อมองดังนี้ก็จะเห็นได้ว่าน้ำปัสสาวะของคนเราแท้จริงแล้วก็คือ
เซรุ่มหรือวัคซีนที่ธรรมชาติประทานไว้ให้กับคนเรานั่นเอง

เป็นเซรุ่มหรือวัคซีนธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันบำบัดรักษาโรคประจำกายได้โดยอัตโนมัติ
เป็นโรคอะไรหรือจะเป็นโรคอะไรร่างกายก็จะผลิตน้ำปัสสาวะ
ที่เสมือนดังหนึ่งเซรุ่มหรือวัคซีนที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนั้นอย่างตรงตัวที่สุด

อุปมาเหมือนกับการเอาพิษงูเห่าไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า หรือการเอาพิษงูจงอางไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูจงอางนั่นแล
โรคเอดส์ก็ประกอบด้วยน้ำ มีเหตุมีปัจจัยจากน้ำ และก่อผลแก่น้ำอันมีอยู่ในกาย

เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายคนเราจึงผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนที่รักษาโรคเอดส์ โดยการใช้น้ำปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์นั้น
ในการบำบัดรักษาโรคเอดส์ให้หาย

สมญานามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้น ไม่ว่าจะคิดจะพิจารณาศึกษาค้นคว้าในเรื่องไหนๆ
ก็จะเห็นได้ถึงความรู้แจ้งโลกหรือความเป็นสัพพัญญูอย่างถ่องแท้ ได้ลองค้นคว้าตำรายาในพระไตรปิฎกก็ได้พบตำรายามากหลาย

หากมีวันเวลาว่างและกองบรรณาธิการอนุญาตแล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องตำรายาในพระไตรปิฎก
เพื่อเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมนุษย์สักครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใดสนใจก็คอยติดตามเอาเองก็แล้วกัน

น้ำปัสสาวะสดอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องสกปรกโสมม คิดเสียว่าเหมือนกับน้ำลายที่อยู่ในปากสามารถกลืนกินได้ฉันใด
น้ำปัสสาวะก็ดื่มกินได้ฉันนั้น แต่เอาหละเพื่อความสะอาดช่วงต้นช่วงปลายอาจจะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจอยู่บ้างก็ทิ้งไปเสีย
เอาแต่ตอนกลางดื่มเช้าหนหนึ่ง ก่อนนอนหนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอสถวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะ
และสามารถบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่ในตนได้ทุกอย่าง

รสชาติของน้ำปัสสาวะของแต่ละคนและที่เป็นโรคแต่ละโรคย่อมแตกต่างกัน บ้างมัน บ้างหวาน บ้างเค็ม บ้างเปรี้ยว บ้างจืด
บ้างมีกลิ่นฉุน บ้างขื่น บ้างเหมือนกลิ่นสับปะรด ก็ถือเสียเถิดว่านั่นเป็นยาแต่ละขนานสำหรับโรคแต่ละโรค

ส่วนการทำน้ำมูถเน่านั้น ให้ใช้น้ำปัสสาวะตอนเช้าและตอนก่อนเข้านอน
ทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาเฉพาะส่วนกลาง ดองใส่โหลไว้ ใส่สมอหรือมะขามป้อมแล้วปิดฝาให้มิดชิด
ถ้วน 90 วันแล้วก็ดื่มกินได้ ทั้งรสชาติดีและรักษาโรคได้ทุกชนิด

จะกินน้ำปัสสาวะเพื่อป้องกันรักษาโรคก็ได้
หรือถ้ารังเกียจก็คอยจนเป็นโรคใดโรคหนึ่งที่หมอไม่รับรักษาแล้วค่อยทดลองกินก็ได้

ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยที่ยังประโยชน์ยิ่งแก่หมู่สัตว์จงประสิทธิ์ประสาทฤทธิ์ของโอสถทิพย
์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งปวงเทอญ

--------------------------------

น้ำปัสสาวะมาจากไหน

ขอบคุณข้อมูลภายใต้ความร่วมมือของหมอชาวบ้าน กับเว็บไซต์วิชาการดอทคอม
www.doctor.or.th
           ช่วงหน้าฝน อากาศโดยทั่วไปค่อนข้างจะเย็นฉ่ำ ร่างกายจึงไม่ค่อยเสียน้ำไปทางเหงื่อเท่าใดนัก ยิ่งถ้าใครทำงานอยู่ในห้องแอร์ด้วยแล้ว จะรู้สึกได้เลยว่าตนเองเข้าห้องน้ำเพื่อขับถ่ายปัสสาวะมากกว่าในช่วงหน้า ร้อน ทั้งที่คุณเองก็ดื่มน้ำน้อยลงกว่าเดิมด้วยซ้ำไป แต่ไม่ว่าคุณจะดื่มน้ำมากน้อยเพียงใด ร่างกายจะต้องพยายามรักษาระดับน้ำภายในให้อยู่ในระดับที่สมดุลอยู่เสมอและ อวัยวะที่รับหน้าที่นี้ก็คือ ไต นั่นเอง
           ไตทำหน้าที่สำคัญหลายอย่างใน ร่างกาย แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะหน้าที่ในการผลิตน้ำปัสสาวะ (urine) ซึ่งเป็นของเหลว (เสีย) ปริมาณมากที่สุดที่ถูกขับออกมาจากร่างกาย แต่ก่อนอื่นคงต้องมาดูโครงสร้างทางสรีระของไตกันก่อนว่าเป็นอย่างไร



           ในคนแต่ละคนนั้น ถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับไตคนละ 2 ข้าง ลักษณะโดยทั่วไปของไต คือ มีสีน้ำตาลแกมแดง รูปร่างคล้ายเม็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น ติดอยู่ทางด้านซ้ายและขวาของกระดูกสันหลังส่วนล่างข้างละอันในบริเวณด้าน หลังช่องท้อง โดยมีกระดูกซี่โครงทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังอยู่ในไตแต่ละข้างจะมีหน่วยกรอง ขนาดจิ๋วเป็นจำนวนกว่าล้านหน่วย ที่เรียกกันว่า “หน่วยไต” (nephron) ซึ่งถ้าใช้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยายสูงๆ ส่องดูแล้ว ก็จะพบว่าพวกหน่วยไตเหล่านี้มีรูปร่างคล้ายกับหนอนหัวโต และมีหางที่เรียกว่า “หลอดไต” (tubule) บิดเป็นเกลียว ผู้รู้เขาบอกว่า หากลองคลายเกลียวหลอดไตเหล่านี้ออกมาต่อกันทั้งหมดแล้ว ก็จะได้ความยาวถึง 112.6 กิโลเมตร ประมาณว่าเป็นระยะทางเท่ากับที่คุณเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงจังหวัดสุพรรณบุรีนั่นทีเดียว

           สำหรับการทำหน้าที่ผลิตน้ำปัสสาวะ นั้นไตจะ ผลิตน้ำปัสสาวะออกมาอย่างไม่ขาดสาย โดยแต่ละวันไตจะผลิตน้ำปัสสาวะได้ประมาณวันละหนึ่งลิตรครึ่ง เริ่มจากหยดเล็กๆ ของของเหลวซึ่งมีของเสียรวมอยู่ ซึ่งของเสียที่มีปริมาณมากที่สุด คือ พวกยูเรีย (urea-ผลผลิตขั้นสุดท้ายของการย่อยอาหารพวกโปรตีน) ให้ออกจากหลอดไตจำนวนหลายล้านตัวและไหลเข้าสู่แอ่งเก็บขนาดเล็กในใจกลางไต แอ่งเก็บน้ำปัสสาวะนี้จะมีท่อต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ จากนั้นก็มีท่อต่อออกสู่ภายนอกร่างกาย ระหว่างที่มีการผลิตปัสสาวะ ร่างกายจะเกิดกิริยาอาการคล้ายระลอกคลื่นของกล้ามเนื้อทุกๆ 10-30 วินาที และจะบีบไล่ให้น้ำปัสสาวะไหลออกสู่ทางออก แต่ในตอนกลางคืนการทำงานของไตจะช้าลงเหลือเพียงประมาณ 1 ใน 3 ของตอนกลางวัน จึงไม่ต้องลุกขึ้นถ่ายปัสสาวะกันบ่อยๆ ในตอนกลางดึก
           เมื่ออ่านจากตอนต้นคุณอาจจะยังไม่หายสงสัยว่า อากาศเย็นแล้วไปเกี่ยวอะไรกับการที่ต้องปัสสาวะบ่อยๆ ด้วยล่ะ คำตอบก็คือว่า ในช่วงที่อากาศเย็นเลือดที่ไหลไปเลี้ยงผิวหนังจะลดลง ทั้งนี้ก็เพื่อถนอมความร้อนภายในร่างกายเอาไว้ แต่ขณะเดียวกันเลือดกลับไหลผ่านอวัยวะภายในต่างๆ รวมทั้งไตมากขึ้น ซึ่งไตเองก็มีหน้าที่ในการกรองของเสียออกจากเลือดอยู่แล้ว จึงได้รับของเสียจากเลือดมากขึ้น ทำให้ต้องผลิตน้ำปัสสาวะมากขึ้นตามไปด้วย

           อ้อ!แล้วเขายังบอกอีกนะคะว่า อารมณ์โกรธและกังวลก็จะทำให้มีการผลิตปัสสาวะมากขึ้นด้วย เพราะขณะที่โกรธและกังวล ความดันเลือดในร่างกายจะสูงขึ้น ทำให้เลือดผ่านมาที่ไตมากขึ้น ของเสียที่ออกจากเลือดจึงไปรวมเป็นปัสสาวะมากขึ้นเช่นกัน วันไหนที่รู้สึกว่าอารมณ์บูดหรือกังวลเป็นพิเศษ ก็ไม่ต้องสงสัยนะคะว่าวันนี้ทำไมคุณจึงเดินเข้าออกห้องน้ำบ่อยจัง

ที่มา: http://www.morkeaw.net/k-urine.html


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น